discount แปลว่าอะไร | 400 คำศัพท์เตรียมสอบ TOEIC - BARRON | คำศัพท์เพื่อเตรียมตัวไปสอบโทอิคโดยเฉพาะ
: discount คำศัพท์เตรียมสอบ
Discount คำศัพท์เตรียมสอบโทอิค |
วันนี้ท่านจะได้พบกับประโยคดีๆ เด็ดๆ เช่นตัวอย่างที่ High light นี้ครับ
⏩ ตัวอย่างข้อสอบโทอิค
⏩ ช่วง "รู้ไหมคำนี้?" - คำถามประลองคำศัพท์
สวัสดีครับ ผมชื่อเล้งครับ วันนี้ผมจะนำประโยคภาษาอังกฤษที่มีประโยชน์มา share ให้ท่านที่สนใจภาษาอังกฤษได้รับความรู้และเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันกันเหมือนเดิมที่บล็อก เรียนคำศัพท์ 400 คำเพื่อเตรียมสอบ TOEIC กันเหมือนเดิมเป็นประจำที่นี่แหละครับ
วันนี้เพื่อนๆจะได้เรียนคำว่า ...".discount แปลว่าอะไร.".. ครับ รับรองครับว่าท่านได้สิ่งที่ดีๆและคุ้มค่ากับเวลาที่อ่านเรื่องของเราที่นำเสนอในวันนี้อย่างแน่นอนครับ
ช่วงคำถาม "รู้ไหมคำนี้?"
คำศัพท์นี้ "Submit" แปลว่าอะไรเอ่ย?
:discount
คำอ่าน:
ออกเสียงว่า:
|
---|
: discount
คำอธิบายภาษาอังกฤษ:
Meaning:
an amount or percentage deducted |
---|
:discount
คำแปลภาษาไทย:
เป็นคำ:
vt, vi., n. (การ) ลดราคา, ลดส่วน, ไม่นับ, ส่วนลด, ค่าชักส่วนลด -discountable adj. Synonym: deduct |
---|
ช่วงเฉลย "คำนี้ตอบว่า"
ลิ้งค์แนะนำ คลิก 👉 : English 12 Tenses : ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษลิ้งค์แนะนำ คลิก 👉 : เผยเคล็ดลับเอ็กเซล : XCEL-GURU
โทอิค(TOEIC)คืออะไร หลายท่านยังไม่ทราบ
วันนี้เราจึงมาทำความเข้าใจถึง"โทอิค" กันครับโทอิค(TOEIC) ย่อมาจาก Test of English for International Communication เป็นแบบทดสอบที่ออกแบบมาสำหรับวัดระดับความรู้ความสามารถของคนทุกคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่หรือภาษาที่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็ใช้มันเลยว่างั้นเห่อะ
ในการทดสอบการใช้ภาษาอังกฤษของโทอิค(TOEIC)จะเน้นการใช้เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน หมายถึงปกติในวันหนึ่งผู้คนส่วนใหญ่เขาพูดจาสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องอะไร โทอิค(TOEIC)ได้ออกแบบมาโดยมีความสอดคล้องกับความเป็นจริงคนใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันมากที่สุดในแต่ละวันนั่นเองครับ
คำถามของโทอิค(TOEIC)บางหมวดบางข้อจะออกเรียงกันโดยที่มีความต่อเนื่องกันไปจากข้อแรกเป็นต้นไปจนถึงข้อท้ายๆในเรื่องนั้นๆ
ยกตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับภาพยนต์(Cinemas)
ตัวอย่างข้อสอบ
1. Question
Her latest film ……. its object in a very short space of time, which was to shock.
1. controlled
2. got
3. acquired
4. attained
2. Question
The critics ……. to praise the work of this director whatever films he makes.
1. continue
2. run
3. insist
4. persist
3. Question
The film was the first to show conditions in which poor people lived and as such was to ……. future directors.
1. hold
2. infect
3. influence
4. show
4. Question
The only reason for them going to the cinema on that day was to find some form of ……..
1. entertainment
2. involvement
3. engrossment
4. internment
โทอิค(TOEIC)จัดทำโดยสถาบัน Educational Testing Service (ETS) มีสำนักงานอยู่ที่เมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา (ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกับที่จัดสอบ TOEFL, GMAT, GRE, SAT)
1. Question
Her latest film ……. its object in a very short space of time, which was to shock.
1. controlled
2. got
3. acquired
4. attained
2. Question
The critics ……. to praise the work of this director whatever films he makes.
1. continue
2. run
3. insist
4. persist
3. Question
The film was the first to show conditions in which poor people lived and as such was to ……. future directors.
1. hold
2. infect
3. influence
4. show
4. Question
The only reason for them going to the cinema on that day was to find some form of ……..
1. entertainment
2. involvement
3. engrossment
4. internment
โทอิค(TOEIC)จัดทำโดยสถาบัน Educational Testing Service (ETS) มีสำนักงานอยู่ที่เมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา (ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกับที่จัดสอบ TOEFL, GMAT, GRE, SAT)
อายุผลสอบ
ผลสอบมีอายุ 2 ปีนับจากวันที่สอบ
ผลสอบใช้ทำอะไรได้บ้าง
ผู้ที่เข้าสอบโทอิค(TOEIC)สามารถนำผลการสอบไปใช้สมัครงานตามบริษัท ห้างร้าน หรือหน่วยงานต่างๆได้ทั่วโลก หมายความว่า บางสถานที่เขาไม่ได้กำหนดไว้ว่าผู้สมัครต้องผ่านการสอบโทอิค(TOEIC) แต่ท่านก็สามารถยื่นผลการสอบได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการพิจารณารับท่านเข้าทำงานของหน่วยงานที่ผู้สมัครงานไปยื่นใบสมัคร
ในขณะเดียวกันก็มีอยู่หลายที่หลายหน่วยงานที่มีนโยบายไว้ชัดเจนว่าผู้สมัครในงานบางตำแหน่งจะต้องมีผลคะแนนการสอบของโทอิค(TOEIC)มาแสดงด้วย เช่น สายการบินต่างๆ โดยทั่วไปจะกำหนดคะแนนไว้ที่ 550 คะแนนขึ้นไป แต่ก็มีบางสถานที่ที่ตั้งคะแนนไว้ที่ 500 คะแนนขึ้นไป
สถานที่ตั้งโทอิค(TOEIC)อยู่ที่ไหน
ที่ตั้งศูนย์สอบ TOEIC (สาขากรุงเทพมหานคร):
ที่อยู่ อาคาร BB Tower (Bangkok Business Building) ชั้น 19 ห้อง 1907 ถนนอโศกมนตรี (ซอยสุขุมวิท 21) กรุงเทพ 10110
โทร 02-260 7061 , 02 664 3131, 02 259-3990
ที่ตั้งศูนย์สอบ TOEIC (สาขา เชียงใหม่):
ที่อยู่ ชั้น 3 อาคารนวรัตน์ 4/6 ถนนแก้วนวรัตน์ ซอย 3 เชียงใหม่ 50000
โทรศัพท์ (53) 248-208, (53) 306-600 โทรสาร (53) 248-208
ค่าใช้จ่ายในการสอบ TOEIC คิดอย่างไร
>> 1,200 บาท สำหรับ Classis TOEIC
>> 1,500 บาท สำหรับ Redesigned TOEIC
>> สำหรับแบบทดสอบ Speaking และ Writing นั้น ติดต่อ Center for Professional Assessment เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมตามที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ด้านบนเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย
ติดต่อโทอิค(TOEIC)ทางอีเมล์: toeic@cpathailand.co.thtoeic@cpathailand.co.th
เมื่อเห็นค่าใช้จ่ายในการสอบโทอิคแล้ว ราคาก็น่าจะสมน้ำสมเนื้อกับการที่จะยอมจ่ายเพื่อแลกกับใบประกาศแสดงผลคะแนนจากโทอิค
แต่จะลงทุนจ่ายเพื่อลงเวทีสอบทั้งทีมันต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มร้อยที่จะได้คะแนนสูงๆเพื่อนำไปใช้ยื่นสมัครเข้าทำงานในบริษัทห้างร้านต่างๆ
ความมั่นใจมันจะมีจะมาได้อย่างไร?
คำตอบก็คือมันจะมาพร้อมกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรากำลังจะทำ อยากจีบหนุ่มจีบสาวเก่ง ก็ต้องเข้าใจ nature ของคนที่เราจะเข้าหาด้วยเสียก่อน
ไม่ต่างจากการที่เราจะสอบภาษาอังกฤษจากโทอิค เราก็ต้องพลิกตำราหาคำตอบ หาวิธีการตอบของโทอิคให้เข้าใจมันซะให้ครบถ้วนทุกกระบวนการ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษนับว่าเป็นเรื่อง basic ที่เราจะต้องรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนไปสอบโทอิค(TOEIC)ครับ รู้มากเท่าไหร่ไม่จำกัด แต่ที่แน่ๆต้องรู้อย่างน้อยสัก 400 คำศัพท์ครับ
หลักๆแล้วคำศัพท์ที่ท่านควรทราบ ควรรู้ ควรเข้าใจความหมาย และลักษณะของคำที่จะนำไปใช้ ไปเรียบเรียงเป็นประโยคต่างๆออกมา ลักษณะของคำก็คือเป็นคำ นาม กริยา กริยาวิเศษณ์ ฯ เป็นต้น
ภาษาอังกฤษจัดว่าเป็นสิ่ง(ภาษา)ที่ 2 ที่เข้ามาในสมองของเราโดยที่สมองของเรากำลังจะแปลความหมายของทั้ง 2 ภาษาให้ออกเท่ากับหรือเท่ากันครับ
อธิบายขยาความได้ว่า ภาษาไทยเป็นภาษาแรกที่เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรียกว่ามันลึกจนถึงปลายลำไส้ใหญ่ยังไงยังงั้น แต่แล้ววันดีคืนดีก็มีคนบอกเราว่ามันยังมีภาษาอื่นๆอีกนะที่มันใช้ได้เหมือนกันกับภาษาไทยของเรานี่แล่ะ ว่าแล้วก็พยายามกรอก พยายามยัด(เยียด)เข้ามาในสมองของเรา
มันคงไม่ง่ายเหมือปั้นดินเป็นรูปอะไรต่างๆนาๆให้มันเหมือนกัน ถ้าจะปั้นเป็นควายสัก 2 ตัวโดยให้หัวให้ตัวมันเท่าๆกันก็อาจจะพอทำได้ แม้จะไม่เหมือนซะทีเดียวแต่ก็สามารถทำให้ดูใกล้เคียงกันได้
แต่ภาษามันไม่ได้เป็นวัตถุ วัสดุสิ่งของที่จะนำเอาประดิษฐ์ตกแต่งแล้วตั้งวางเหมือนรูปปั้นได้ ภาษาเป็นนามธรรมโดยแท้ ภาษาเกิดจากการที่มนุษย์พยายามคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการสื่อสารกันให้เข้าใจ มันแปลกตรงที่ว่ามนุษย์ไม่ได้คิดครั้งเดียวพร้อมๆกัน ถ้าทำเช่นนั้นได้ ภาษาในโลกนี้คงมีแค่ภาษาเดียวเท่านั้น
คนๆหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งกำลังจับเอาภาษาของตนเองไปเทียบเคียงกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่น่าแปลกก็คือคนที่เป็นคนต่างกลุ่มกันนี้เขาใช้อะไรในการใช้สมการเท่ากับของภาษาทั้งสอง ทำไมเราจึงเข้าใจว่า คำว่า "LOVE" = "รัก" ใช่อยู่ในปัจจุบันมันมีตำราบอกเราเรียบร้อยแล้วว่าไอ้คำว่า รัก กับ love ความหมายมันตรงกัน สิ่งที่ผมย้อนถามกลับไปก็คือ เมื่อคนไทยคนแรกเจอกับฝรั่งคนแรก คน 2 คนนี้เขาเข้าใจกันและกันอย่างไร
ผมคิดเล่นๆนะครับว่า คำที่เกี่ยวกับสิ่งของวิธีการเทียบเคียงก็น่าจะเป็นว่า เช่น คนไทยชี้ไปที่ "เก้าอี้" คนฝรั่งก็คงจะพูดว่า "chair" ตรงนี้แล่ะ สมองของทั้งพี่ไทยกับฝรั่งนายนั้นมันคงจะ Tune กันเป็นที่เรียบร้อยว่า "เก้าอี้" = "chair"
เมื่อคนไทยเอาเก้ามาหลายๆตัว ฝรั่งก็คงจะพูดว่า chairs เติม s เข้าไปตรงท้ายของคำว่า (chair + s) ที่เติม s เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นพหูพจน์คือเก้าอี้มากกว่า 1 ตัว ก็เพราะว่าคำว่า chair เมื่อออกเสียงเป็นเก้าอี้ เก้าอี้ เก้าอี้ เก้าอี้หลายๆตัวมันก็คงจะเหมือนกับเอาคำว่า chair มาต่อเรียงกันหลายๆคำ คือ chair chair chair chair
แต่ฝรั่งเขาคิดได้ว่า เมื่อต้องออกเสียง chair ติดต่อกันหลายๆครั้ง มันเมื่อยปาก เขาก็เลยเอาเป็นว่า เติม S เข้าไปตรงท้ายคำแล้วก็บอกกับเพื่อนๆ chairs มันหมายถึงเก้าอี้หลายตัวนะ ส่วน chair ที่ไม่มี s คือเก้าอี้ตัวเดียว
ติดต่อโทอิค(TOEIC)ทางอีเมล์: toeic@cpathailand.co.thtoeic@cpathailand.co.th
เมื่อเห็นค่าใช้จ่ายในการสอบโทอิคแล้ว ราคาก็น่าจะสมน้ำสมเนื้อกับการที่จะยอมจ่ายเพื่อแลกกับใบประกาศแสดงผลคะแนนจากโทอิค
แต่จะลงทุนจ่ายเพื่อลงเวทีสอบทั้งทีมันต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มร้อยที่จะได้คะแนนสูงๆเพื่อนำไปใช้ยื่นสมัครเข้าทำงานในบริษัทห้างร้านต่างๆ
ความมั่นใจมันจะมีจะมาได้อย่างไร?
คำตอบก็คือมันจะมาพร้อมกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรากำลังจะทำ อยากจีบหนุ่มจีบสาวเก่ง ก็ต้องเข้าใจ nature ของคนที่เราจะเข้าหาด้วยเสียก่อน
ไม่ต่างจากการที่เราจะสอบภาษาอังกฤษจากโทอิค เราก็ต้องพลิกตำราหาคำตอบ หาวิธีการตอบของโทอิคให้เข้าใจมันซะให้ครบถ้วนทุกกระบวนการ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษนับว่าเป็นเรื่อง basic ที่เราจะต้องรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนไปสอบโทอิค(TOEIC)ครับ รู้มากเท่าไหร่ไม่จำกัด แต่ที่แน่ๆต้องรู้อย่างน้อยสัก 400 คำศัพท์ครับ
หลักๆแล้วคำศัพท์ที่ท่านควรทราบ ควรรู้ ควรเข้าใจความหมาย และลักษณะของคำที่จะนำไปใช้ ไปเรียบเรียงเป็นประโยคต่างๆออกมา ลักษณะของคำก็คือเป็นคำ นาม กริยา กริยาวิเศษณ์ ฯ เป็นต้น
ภาษาอังกฤษจัดว่าเป็นสิ่ง(ภาษา)ที่ 2 ที่เข้ามาในสมองของเราโดยที่สมองของเรากำลังจะแปลความหมายของทั้ง 2 ภาษาให้ออกเท่ากับหรือเท่ากันครับ
อธิบายขยาความได้ว่า ภาษาไทยเป็นภาษาแรกที่เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรียกว่ามันลึกจนถึงปลายลำไส้ใหญ่ยังไงยังงั้น แต่แล้ววันดีคืนดีก็มีคนบอกเราว่ามันยังมีภาษาอื่นๆอีกนะที่มันใช้ได้เหมือนกันกับภาษาไทยของเรานี่แล่ะ ว่าแล้วก็พยายามกรอก พยายามยัด(เยียด)เข้ามาในสมองของเรา
มันคงไม่ง่ายเหมือปั้นดินเป็นรูปอะไรต่างๆนาๆให้มันเหมือนกัน ถ้าจะปั้นเป็นควายสัก 2 ตัวโดยให้หัวให้ตัวมันเท่าๆกันก็อาจจะพอทำได้ แม้จะไม่เหมือนซะทีเดียวแต่ก็สามารถทำให้ดูใกล้เคียงกันได้
แต่ภาษามันไม่ได้เป็นวัตถุ วัสดุสิ่งของที่จะนำเอาประดิษฐ์ตกแต่งแล้วตั้งวางเหมือนรูปปั้นได้ ภาษาเป็นนามธรรมโดยแท้ ภาษาเกิดจากการที่มนุษย์พยายามคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการสื่อสารกันให้เข้าใจ มันแปลกตรงที่ว่ามนุษย์ไม่ได้คิดครั้งเดียวพร้อมๆกัน ถ้าทำเช่นนั้นได้ ภาษาในโลกนี้คงมีแค่ภาษาเดียวเท่านั้น
คนๆหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งกำลังจับเอาภาษาของตนเองไปเทียบเคียงกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่น่าแปลกก็คือคนที่เป็นคนต่างกลุ่มกันนี้เขาใช้อะไรในการใช้สมการเท่ากับของภาษาทั้งสอง ทำไมเราจึงเข้าใจว่า คำว่า "LOVE" = "รัก" ใช่อยู่ในปัจจุบันมันมีตำราบอกเราเรียบร้อยแล้วว่าไอ้คำว่า รัก กับ love ความหมายมันตรงกัน สิ่งที่ผมย้อนถามกลับไปก็คือ เมื่อคนไทยคนแรกเจอกับฝรั่งคนแรก คน 2 คนนี้เขาเข้าใจกันและกันอย่างไร
ผมคิดเล่นๆนะครับว่า คำที่เกี่ยวกับสิ่งของวิธีการเทียบเคียงก็น่าจะเป็นว่า เช่น คนไทยชี้ไปที่ "เก้าอี้" คนฝรั่งก็คงจะพูดว่า "chair" ตรงนี้แล่ะ สมองของทั้งพี่ไทยกับฝรั่งนายนั้นมันคงจะ Tune กันเป็นที่เรียบร้อยว่า "เก้าอี้" = "chair"
เมื่อคนไทยเอาเก้ามาหลายๆตัว ฝรั่งก็คงจะพูดว่า chairs เติม s เข้าไปตรงท้ายของคำว่า (chair + s) ที่เติม s เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นพหูพจน์คือเก้าอี้มากกว่า 1 ตัว ก็เพราะว่าคำว่า chair เมื่อออกเสียงเป็นเก้าอี้ เก้าอี้ เก้าอี้ เก้าอี้หลายๆตัวมันก็คงจะเหมือนกับเอาคำว่า chair มาต่อเรียงกันหลายๆคำ คือ chair chair chair chair
แต่ฝรั่งเขาคิดได้ว่า เมื่อต้องออกเสียง chair ติดต่อกันหลายๆครั้ง มันเมื่อยปาก เขาก็เลยเอาเป็นว่า เติม S เข้าไปตรงท้ายคำแล้วก็บอกกับเพื่อนๆ chairs มันหมายถึงเก้าอี้หลายตัวนะ ส่วน chair ที่ไม่มี s คือเก้าอี้ตัวเดียว
งั้นพี่ไทยของเราใช้ภาษาได้ชัดเจนกว่าตรงที่ว่า ถ้าเก้าอี้มากกว่า 1 ตัว พี่ก็ใช้คำว่า "เก้าอี้หลายตัว"
เออเนะสุดยอดเลย
เมื่อลองคิดดูอีกที ถ้าเราเอาคำว่า เก้าอี้หลายตัว เป็น เก้าอี้ แล้วเติม ส เข้าไปตรงท้าย เป็น "เก้าอี้ส" = เก้าอี้หลายตัว มันก็เป็นมุมใหม่อีกมุมหนึ่งนะเนี่ย
ลองเป็นคำอื่นๆดูบ้าง
Table / Tables
โต๊ะ / โต๊ะส
Telephone / Telephones
โทรศัพท์ / โทรศัพท์ส
Girlfriend / Girlfriends
แฟนสาว / แฟนสาวส
=>มันจะงงอีตรงที่มันหมายถึง แฟนสาวหลายคนหรือว่ามันคือว่า แฟน สา วส คือเป็นแฟนของคุณสาวสกันแน่?!?
ไอ้เรามันคนช่างคิด แต่คิดในเรื่องที่มันไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเขาคิดเขาทำนี่สิ ถึงได้แก่เร็วเกินแกง ฮาฮาฮา
ที่น่าสงสัยก็คือว่า เวลาที่คนไทยเราเรียนภาษาอังกฤษ เรามักจะพูดว่า
"กูล่ะเบื่อ grammar"
"เรียน grammar ภาษาอังกฤษทีไรเหมือกูเรียนวิชา grammuo(แกรมมั่ว)ยังไงยังงั้น" ภาษาของเขาเป็นของดี แต่ว่าใจเรามันไม่รับเอง แกรมม่าร์เลยเป็นแกรมมั่ว เรียนแบบมั่วๆไปวันๆ
ไอ้เจ้า "grammar" ที่ว่ามันไม่ใช่แสง Gamma นะครับ แท้จริงแล้วมันคือ...
"ไวยากรณ์" "หลักภาษา" "หลักไวยากรณ์" ซึ่งก็ทุกภาษานั่นแหละครับที่จะต้องมีคานมีขื่อของประโยคของคำต่างๆ
เมื่อนำคำศัพท์มาต่อ มาเชื่อมกัน เอาผสมปนเปให้เข้ากันจนกลายเป็นกระยาสารท เอ๊ย! ไม่ใช่ครับ เป็น "Tense" เป็นประโยคที่สามารถสื่อความหมายได้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของภาษานั้นๆครับ
หวัดดี
Thanks for reading.
Posted by: Michael Leng
I've known, then I've grown.
ดูคำศัพท์เพิ่มเติม
ตอนนี้ผมอายุมากแล้วไม่ทราบว่าจะเรียนรู้เรื่องไหมครับ เหมือนสมองมันจะไม่รับ?
ตอบลบว่ากันว่า การเรียนภาษาที่สองจะช่วยพัฒนาสมองให้ maintain ได้ดีนะครับ
ลบการเรียนภาที่ 2 จะคล้ายๆกับการเล่นไพ่นกกระจอก(麻將) ซึ่งจะช่วยให้สมองได้ exercise อยู่เสมอ จึงไม่ฝ่อง่ายๆ ไม่หลงไม่ลืมครับ
ตอบลบรู้ยังงี้แล้ว ต้องฝึกพูดภาษากันแล้วล่ะครับ ใช่ป่ะ
ถ้าจะพูดว่า "ช่วยลดให้หน่อยได้ไหม?" เป็นภาษาอังกฤษว่ายังไงหรือครับ
ตอบลบCan you lower the price?
ลบCan you make a discount for me?
Could you give me a discount?
เว็บไซต์โทอิก(TOEIC):
ตอบลบhttp://cpathailand.co.th/